การใช้ยาเพื่อเปลี่ยนแปลงเพศ ควรปรึกษาทีมแพทย์ผู้เชียวชาญเพื่อการดูแลอย่างต่อเนื่องและปลอดภัย
บทความโดย
พญ.ณัฐนิตา มัทวานนท์
สูตินรีแพทย์
ศูนย์ศรีพัฒน์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
คำจำกัดความของเพศในยุคก่อนอาจจะมีเพียงแค่ชายและหญิง แต่ในปัจจุบันความหลากหลายทางเพศเป็นที่ยอมรับและเข้าใจมากขึ้น ในทางการแพทย์ความหลากหลายทางเพศไม่ใช่โรคและไม่ได้เกิดจากความผิดปกติทางจิตใจ หากแต่การเลือกปฏิบัติของสังคมต่อกลุ่มคนเหล่านี้ต่างหากที่ก่อให้เกิดบาดแผลในใจระยะยาว
อะไรคือความหลากหลายทางเพศ
1. อัตลักษณ์ทางเพศ (gender identity)คือ เพศที่มีความรู้สึกว่าตนเองเป็นหรือต้องการอยากเป็น เช่น สาวประเภทสอง มีเพศกำเนิดเป็นชาย แต่มีอัตลักษณ์ทางเพศเป็นหญิง เป็นต้น
2.รสนิยมทางเพศ (sexual orientation)
คือ การมีความรู้สึกว่าถูกดึงดูด หรือมีความรู้สึกทางเพศกับเพศไหน เช่น ถูกดึงดูดด้วยเพศชาย หรือเพศหญิง ไม่ชอบเพศไหนเลย หรือชอบหลายแบบก็ได้
อัตลักษณ์และรสนิยมไม่จำเป็นต้องไปด้วยกัน อาทิเช่น สาวประเภทสองรู้สึกว่าตนเองเป็นผู้หญิงอาจจะชอบผู้หญิงสวยๆก็ได้ ไม่จำเป็นต้องชอบผู้ชาย เป็นต้น ซึ่งความชอบนี้ก็อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้เสมอ หรือที่เรียกว่าภาวะเพศเลื่อนไหล (gender fluidity) จะเห็นว่าเพศไม่ได้มีแค่สองเพศเหมือนขาวกับดำ หากแต่เป็นเฉดสีเทา ๆ ที่ยากจะระบุชี้ชัดลงไปได้
สาเหตุของความหลากหลายทางเพศ และแนวทางการรักษา
ปัจจุบันเชื่อว่าเกิดจากหลายปัจจัยร่วมกัน เช่น พันธุกรรม ฮอรโมนและสารเคมีในสมอง การเลี้ยงดู และสังคมรอบข้าง ถึงแม้ความหลากหลายทางเพศไม่ได้นับเป็นโรคหรือความผิดปกติ แต่ครอบครัวและสังคมรอบข้างที่ไม่เข้าใจอาจจะก่อให้เกิดปัญหาได้ นอกจากนี้ บางคนอาจมีความทุกข์จากเพศสภาพภายนอกที่ไม่ตรงกับความรู้สึกภายใน เรื่องเหล่านี้สามารถปรึกษาแพทย์ผู้เชียวชาญด้านต่าง ๆได้เสมอ เช่น หากมีความกังวลใจหรือรู้สึกซึมเศร้าก็สามารถปรึกษาจิตแพทย์ เพื่อหาวิธีปรับใจให้มีความสุข ในกลุ่มที่ต้องการเปลียนแปลงเพศ ก็ไม่ควรซื้อยารับประทานเอง ควรปรึกษาทีมแพทย์ผู้เชียวชาญ เช่น แพทย์ต่อมไร้ท่อหรือสูตินรีแพทย์ เพื่อใช้ยาฮอร์โมนให้ได้ผลดีอย่างปลอดภัย และหากต้องการทำการผ่าตัดก็ควรเลือกแพทย์ศัลยกรรมที่มีความเชี่ยวชาญในสถานที่ที่ปลอดภัย นอกจากนี้ คนไข้ควรได้รับการดูแลต่อเนื่องในระยะยาวเพื่อเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนและตรวจคัดกรองโรคต่าง ๆ อย่างเหมาะสม เช่น การตรวจภายใน หลังทำช่องคลอดใหม่ การตรวจมะเร็งเต้านมหลังจากผ่าตัดเต้านมออกไปแล้วเป็นต้นการใช้ยาฮอร์โมนเพื่อเปลี่ยนลักษณะภายนอก และการตรวจร่างกายหลังใช้ยา
1. ชายเป็นหญิง- ใช้ยาต้านฮอร์โมนเพศชาย ร่วมกับเสริมฮอร์โมนเพศหญิง โดยยาฮอร์โมนที่ใช้ควรเป็นกลุ่มที่มีโครงสร้างคล้ายฮอร์โมนเพศหญิงตามธรรมชาติ
- จะเริ่มที่ยาขนาดต่ำก่อน แล้วค่อยๆ ปรับเพิ่มขึ้น
- เจาะเลือดวัดระดับฮอร์โมนเป็นระยะ เพื่อให้ได้ผลดีที่สุดโดยมีผลข้างเคียงต่ำที่สุด
- เจาะเลือดเพื่อเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนจากการใช้ยาเป็นระยะ
- โดยทั่วไปผลของฮอร์โมนจะเต็มที่ ที่ประมาณ 2-3 ปี
- ในรายที่ผ่าตัดแปลงเพศแล้ว จะต้องใช้ฮอร์โมนเพศหญิงระยะยาว เพื่อป้องกันความเสื่อมของร่างกาย เช่นภาวะกระดูกพรุน
- ความผิดปกติของช่องคลอดใหม่ ควรได้รับการตรวจภายในเพื่อวินิจฉัยและรักษา
2. หญิงเป็นชาย
- ใช้ยาฮอร์โมนเทสโทสเทอโรนเพียงอย่างเดียว ปัจจุบันใช้ในรูปแบบยาฉีด หรือยาทา
- จะเริ่มที่ยาขนาดต่ำก่อน แล้วค่อยๆ ปรับเพิ่มขึ้น เพื่อให้ได้ผลตามที่ต้องการโดยมีผลข้างเคียงต่ำที่สุด
- เจาะเลือดวัดระดับฮอร์โมน และภาวะแทรกซ้อนจากการใช้ยาเป็นระยะ
- โดยทั่วไปผลของฮอร์โมนจะเต็มที่ ที่ประมาณ 2-5ปี
- หากยังมีมดลูกและรังไข่ ต้องตรวจมะเร็งปากมดลูกตามมาตรฐาน (ทุก 1 ปี) และต้องคุมกำเนิดในกรณีที่มีคู่ที่สามารถผลิตอสุจิได้ เนื่องจากยาฮอร์โมนเพศชายไม่สามารถใช้คุมกำเนิดได้
เพราะความแตกต่างและความหลากหลาย ไม่ควรเป็นอุปสรรค์ต่อการมีสุขภาพที่ดี ทางศูนย์ศรีพัฒน์มีบริการ ปรึกษาเรื่องการใช้ยาฮอร์โมน, เจาะเลือดวัดระดับฮอร์โมน, ตรวจภายใน ในกลุ่มหลากหลายทางเพศ โดย พญ.ณัฐนิตา มัทวานนท์ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ คลินิกสูตินรีเวช หมายเลข 053-936830
ข้อมูลอ้างอิง
http://sriphat.med.cmu.ac.th/th/knowledge-381